MDs’ LIFE | Bianca ร้านอาหารอิตาเลียนที่นำเสนอรสชาติและเสน่ห์แบบดั้งเดิม ในห้าง Emsphere
หลังจากห้างสรรพสินค้า Emsphere เปิดประตูต้อนรับผู้ใช้บริการทุกคนอย่างเป็นทางการ ทำให้ห้างแห่งนี้กลายเป็นจุดเช็คอินแห่งใหม่ของชาวกรุงเทพไปโดยปริยาย โดยเฉพาะใครที่ชื่นชอบการกินอาหารอร่อย ๆ เพราะที่นี่มีร้านอาหารมากมายมาเปิดให้บริการ ซึ่งหลาย ๆ ร้านเป็นร้านสาขาแรก บางร้านไม่เคยมีสาขาในไทย และบางร้านไม่เคยมีหน้าร้านมาก่อน และหนึ่งในร้านหน้าใหม่เหล่านั้น ก็มีร้านอาหารอิตาเลียนที่ชื่อว่า Bianca ที่ MenDetails มีโอกาสได้มากินอาหารและรีวิวในครั้งนี้ครับ
ร้านนี้ตั้งใจจะนำเสนอเสน่ห์ของอาหารอิตาเลียนแบบดั้งเดิม มาผสมผสานกับเทคนิคการทำอาหารล้ำสมัย ในบรรยากาศที่ทันสมัย หรูหรา แต่มีความเป็นกันเองเหมาะกับการมาสังสรรค์กับเพื่อน ครอบครัว หรือจะเป็นมื้อพิเศษกับคนรู้ใจก็ได้เช่นกัน ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ และอาหารที่น่าสนใจของร้านจะมีอะไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้วก็เลื่อนลงไปอ่านได้เลยครับ
Bianca สัมผัสเสน่ห์และรสชาติของอาหารอิตาเลียน ในห้าง Emsphere
Bianca เป็นร้านอาหารภายใต้การดูแลของ LOVA Hospitality Group ที่ประสบความสำเร็จจากการเปิดตัว LAVA Asian Fire Grill ร้านสเต๊กฟิวชั่นสไตล์เอเชียที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากเหล่าผู้ชื่นชอบการกิน ทำให้ในครั้งนี้ แบรนด์เลือกที่จะเปิดร้านอาหารใหม่ที่ต่างออกไป นั่นคือ อาหารอิตาเลียน ที่นำเสนอเสน่ห์ของอาหารอิตาเลียนที่มีความเป็นกันเอง และรสชาติแบบดั้งเดิมผสมผสานกับเทคนิคการทำอาหารล้ำสมัย โดยได้เชฟเจริโก แวน เดอ วูฟ (Jeriko Van der Wolf) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง LOVA Hospitality Group มาเป็นผู้รังสรรค์เมนูให้ร้าน
ร้านตั้งอยู่ในห้าง Emsphere สามารถนั่งรถ BTS มาลงสถานีพร้อมพงษ์ แล้วเดินตามทางเชื่อมเข้าห้างได้เลย หรือใครจะขับรถมาจอดในห้างก็ได้ตามสะดวก ร้านอยู่ชั้น GM หาไม่ยาก เพราะการออกแบบที่เปิดโล่ง และโทนสีเขียวของร้าน เมื่อเข้ามาภายในร้านเราสามารถสัมผัสได้ถึงความต้องการนำเสนอความหรูหราแบบดั้งเดิม แต่งานดีไซน์มีความทันสมัย โดดเด่นด้วยวัสดุไม้ ตัวร้านให้ความรู้สึกกว้างขวางและโปร่งสบาย มีการตกแต่งด้วยต้นไม้ระย้า ให้ความมีชีวิตชีวาและบรรยากาศสดชื่น เหมาะสำหรับการจัดงานสังสรรค์ มื้อพิเศษ ไปจนถึงการกินมาดื่มด่ำกับรสชาติในวันธรรมดาทั่วไป
ไฮไลท์ของร้านอยู่ที่ครัวแบบเปิดที่อยู่ใจกลางร้าน ที่มีการจัดสรรพื้นที่ห้องครัวอย่างเป็นระบบ ทั้งโซนของคาว เครื่องดื่ม และโซนทำพิซซ่าที่มีเตาอบพิซซ่าอยู่ตรงกลาง เราสามารถเห็นการนวดแป้งและการปรุงพิซซ่าตั้งแต่ต้นจนถึงการนำเข้าเตาอบได้ นอกจากนี้ยังมีชีสสูตรเฉพาะและเนื้อ Cold cut ที่จัดเรียงเอาไว้ บาร์ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ไปจนถึง Collection ขวดและซอสมากมาย เป็นการสร้างบรรยากาศในการกินอาหารอิตาเลียนมากยิ่งขึ้นไปในตัว
เมนูมากมายทั้งคาวหวาน ที่จะมามอบประสบการณ์อาหารอิตาเลียนที่
แสนพิเศษ
พูดถึงตัวร้านเรียบร้อย ถึงเวลามาดูอาหารของร้านกันบ้างครับ ครั้งนี้เราได้ลองหลายเมนูตั้งแต่ของกินเล่นไปจนถึงของหวาน ซึ่งทุกเมนูทำออกมาได้น่าประทับใจและ portion ใหญ่มาก เหมาะกับการสั่งมาแบ่งกันกินกับเพื่อน ครอบครัว คนรู้ใจ จะทำให้สามารถสั่งได้หลายอย่างมากยิ่งขึ้น
เราเริ่มกันด้วยของกินเรียกน้ำย่อย / กินเล่น ทั้ง Antipasti Board (790.-) ที่มีทั้ง เนื้อ Cold cut ผักดอง ผักย่าง ขนมปัง และซอสสำหรับทาขนมปังต่าง ๆ เสิร์ฟวางมาเรียงรายสวยงาม กินเล่นกันเพลิน ๆ ก่อนที่จะตามมาด้วย Fritto misto (320.-) อาหารอิตาเลียนที่นำผักและซีฟู้ดมาทอด จานนี้ที่เรากินมีฟักทอง ข้าวโพดอ่อน ปลา และปลาหมึก จิ้มกินกับซอสทาร์ทาร์ ตัวซอสรสชาติดี แต่ตัวของทอดเองก็มีรสชาติดีอยู่แล้วครับ เพราะมีการโรยผงปรุงรสมานิด ๆ หน่อย ๆ มาคู่กับ Truffle Arancini (420.-) หรือ รีซอตโต้ที่ทำเป็นก้อนกลมแล้วทอด อีกหนึ่งอาหารเรียกน้ำย่อย / กินเล่น ยอดนิยมของอิตาลี ที่เริ่มมีความหนักมากขึ้น จัดเต็มทั้งชีสทั้งเห็ดทรัฟเฟิล ตัวก้อนรีซอตโต้ทอดข้างในอัดแน่นไปด้วยความหอมของทรัฟเฟิลและข้าวร้อน ๆ ผสมผสานกับความครีมมี่และชีส
ขยับมาที่จานที่มีความหนักขึ้นอย่าง Burrata Tomato & Parma (490.-) ชีสบูราต้าก้อนใหญ่ ราดมาด้วยน้ำมันมะกอกให้ได้กลิ่นหอมและสดชื่น เสิร์ฟมาคู่กับมะเขือเทศย่างและแฮม Parma เมื่อกินคู่กันแล้วไม่มีความรู้สึกเลี่ยน ตัวชีสด้านนอกมีความหนึบหนับ ด้านในมีความมัน หอม สดชื่น เมื่อกินคู่กับมะเขือเทศย่างที่มีความเปรี้ยวอมหวานนิด ๆ กับแฮม Parma ที่มีความเค็มแล้วลงตัวมาก ๆ ไม่รู้สึกหนักท้อง แต่กลับทำให้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น อยากขยับไปกินอาหารจานหลักที่จะมาต่อไปแล้ว เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย / กินเล่น ที่เราประทับใจมาก ชนิดที่ว่าแค่แปบเดียวของในจานก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน และส่งเสียงร้องอยากกินอาหารจานหลักแล้ว ก็เป็นตาของพิซซ่า อีกหนึ่งเมนูขึ้นชื่อของทางร้าน ซึ่งเราได้กิน 2 ถาดด้วยกัน คือ Tricolore Pizza (560.-) กับ Parma Ham & Stracciatella Pizza (720.-) ครับ พิซซ่าอบสดใหม่จากเตาร้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมน่ากิน หนึ่งถาดแบ่งได้ 6 ชิ้น แต่ละชิ้นก็ใหญ่พอสมควร ลักษณะพิซซ่าเป็นแบบอิตาเลี่ยนแท้ ๆ คือ แป้งจะมีความบาง กรอบ มีกลิ่มหอมไหม้จากไฟในเตานิด ๆ
Tricolore Pizza หรือพิซซ่าสามสี เป็นพิซซ่าคลาสสิกที่ทำง่าย ใช้ส่วนผสมไม่มาก มีที่มาจากสีทั้งสามของส่วนผสมหลักคือ ซอสมะเขือเทศ ชีส และใบโหระพา ของร้านนี้จะมีการราดน้ำมันมะกอกลงไปอีกนิด เพิ่มรสชาติและความหอมอีกหน่อย กินง่าย เบา ๆ แต่ถ้าใครชอบพิซซ่าที่มีความหนัก ต้อง Parma Ham & Stracciatella Pizza ที่ให้แฮม Parma มาเยอะสะใจ พร้อมชีส Stracciatella (ชีสอิตาเลี่ยนที่ผลิตจากนมควาย คล้าย Burrata ที่จะมีความนุ่มนวลกว่า) โรยด้วยถั่วพิตาชิโอ้และใบโหระพา ถาดนี้จะมีความครีมมี่ และความเค็มนิด ๆ จากแฮม
ต่อกันที่จานเส้นและจานข้าวกันบ้าง พาสต้าเราได้กิน Truffle Pasta e Basta (690.-) เส้นพาสต้าต้มมาแบบอัล เดนเต้ ที่เมื่อเคี้ยวแล้วยังมีความกรึบอยู่เล็กน้อย ในซอสเห็ดทรัฟเฟิลที่มีความครีมมี่และหอมลงตัวมาก ๆ ใครที่ชอบทรัฟเฟิลบอกเลยว่าเมนูนี้ไม่ควรพลาด
ส่วนเมนูข้าว Risotto Pescatore (620.-) ข้าวรีซอตโต้ซีฟู้ดแบบจัดเต็มทั้งหอย กุ้ง ปลาหมึก ในซอสครีมมะเขือเทศที่ผสมกับมันกุ้งและชีสมีความหอมมัน ข้าวไม่แฉะและไม่แข็งเกินไป เสิร์ฟมาในจานลวดลายสวยงาม เหมือนมีคุณยายชาวอิตาเลี่ยนมาทำให้กิน ให้ความรู้สึกสบาย ๆ กินง่าย ๆ เป็นคอมฟอร์ทฟู้ด เป็นอีกหนึ่งจานที่เราประทับใจ
ปิดท้ายของคาวด้วย Wagyu Hanger Pizzaiola (990.-) เนื้อวากิวย่างแบบ Medium Rare มีความฉ่ำ หั่นมาชิ้นโต รสชาติเนื้อเข้มข้น ในซอสมะเขือเทศคล้ายหน้าของพิซซ่า เป็นที่มาของคำว่า Pizzaiola สำหรับเรา ตัวเนื้ออย่างเดียวก็ย่างมาดีอยู่แล้ว แต่ซอสของจานนี้ก็ช่วยเพิ่มมิติของรสชาติได้ดีเช่นกัน ให้มีความเปรี้ยวนิด ๆ มาตัดรสชาติเข้มข้นของเนื้อ แต่ขอเตือนว่าจานนี้กลิ่นเนื้อค่อนข้างแรง ใครไม่ชอบกลิ่นเนื้อแรง ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนไปสั่งเมนูปลาหรือสเต๊กอย่างอื่นแทนจะดีกว่าครับ
ส่วนของหวาน ต้องไม่พลาด Bianca’s Tiramisu (290.-) ทีรามิสุสูตรพิเศษของร้าน มีความหวานและขมนิด ๆ กินเย็น ๆ ปิดท้ายมื้อได้ดีทีเดียว นอกจากนั้นยังมี Dolce Limone (290.-) หรือ ทาร์ตเมอแรงค์เลมอนใบเบซิล สำหรับใครที่อยากได้ความเปรี้ยวของมะนาวมาล้างปาก แต่ส่วนตัวเราว่าจานนี้แอบเปรี้ยวไปหน่อย ตัวเมอแรงค์ทำออกมาดี แต่ตัวทาร์ตมีครีมมะนาวที่เปรี้ยวเอาเรื่องเป็นไส้ในอยู่ และของหวานอีกจานที่เราชอบมาก คือ Chocolate Dolce Vita เป็นมูสช็อกโกแลตที่เลือกใช้ช็อกโกแลตที่มีความเข้มสูง ทำให้ไม่หวานเลี่ยนแสบคอ ได้ความเข้มข้นของช็อกโกแลตเต็ม ๆ เนื้อมูสมีความเบา มีชิ้นช็อกโกแลตให้เคี้ยวนิดหน่อย ใครชอบช็อกโกแลตเราแนะนำเลยครับ
โดยรวมแล้ว Bianca เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่นำเสนอรสชาติและเสน่ห์ของอาหารอิตาเลี่ยนดั้งเดิมออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ในบรรยากาศของร้านที่ดูหรูหรา ทันสมัย แต่ไม่ได้เข้าถึงยาก นั่งสบาย ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการสังสรรค์ มื้อพิเศษ หรือมื้อเย็นทั่ว ๆ ไปกลายเป็นช่วงเวลาที่ดีได้ ที่สำคัญคือเดินทางไม่ยาก
เรื่องราคาหลายคนอาจคิดว่าสูงไปสักหน่อย แต่ถ้าเทียบกับ Portion ที่ได้ และคุณภาพของอาหารแล้ว เราคิดว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าทีเดียวครับ โดยเฉพาะหากมากันหลาย ๆ คนอย่างที่เรากล่าวไปแล้ว หากใครที่อยากมีสัมผัสรสชาติอาหารอิตาเลี่ยนของ Bianca ที่ชั้น GM ห้าง Emsphere ร้านเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 10.00 น. จนถึงเวลาปิดทำการของห้างครับ